หลายๆ คนคงจะเคยได้ยินคำว่า Inbound และ Outbound Marketing มาบ้างไม่มากก็น้อย บางคนอาจจะเข้าใจว่าเป็นแนวทางการทำการตลาดในยุคใหม่ บางคนอาจจะเข้าใจว่าเป็นแนวคิดการทำการตลาดออนไลน์ แต่ความหมายจริงๆ แล้วนั้นคืออะไร วันนี้ผมจะพาทุกคนมาทำความเข้าใจว่าจริงๆ แล้วการตลาดแบบ Inbound และ Outbound คืออะไร มีความแตกต่างกันอย่างไร และแบบไหนดีกว่ากัน
Inbound Marketing คืออะไร?
Inbound Marketing คือ การทำการตลาดแบบ “แรงดึงดูด” ที่จะเน้นทำให้คนสนใจอยากเข้าหาแบรนด์ จนกลายเป็นลูกค้าของแบรนด์ในที่สุด โดยมีหลักการที่สำคัญคือ จะสร้างคุณค่าและคุณประโยชน์ผ่านคอนเทนต์ให้แก่ผู้คน จนกลายมาเป็นผู้ติดตามหรือผู้เข้าชม และในอนาคตอาจที่จะเป็นลูกค้าของแบรนด์ก็เป็นได้ ตัวอย่างช่องทางหรือเครื่องมือของการทำการตลาดแบบ Inbound เช่น การลงคอนเทนต์ในโซเชียลมีเดีย การเขียน Blog ลงบนเว็บไซต์ หรือการจัดสัมมนาออนไลน์ (Webinar) เป็นต้น

Outbound Marketing คืออะไร?
Outbound Marketing คือ การทำการตลาดแบบ “ผลักการสื่อสาร” ที่จะเน้นเข้าหาหรือสื่อสารข้อมูลที่เกี่ยวกับสินค้าหรือบริการของแบรนด์ออกไปหากลุ่มเป้าหมายโดยตรง โดยที่ไม่ได้สนใจว่ากลุ่มเป้าหมายจะสนใจข้อมูลหรือโฆษณาที่ทางแบรนด์สื่อสารออกไปหรือไม่ ตัวอย่างช่องทางหรือเครื่องมือของการทำการตลาดแบบ Outbound เช่น โฆษณาบนป้ายบิลบอร์ด โฆษณาใน YouTube หรือการส่งอีเมลหรือโทรไปหาลูกค้าโดยตรง เป็นต้น

แล้วการตลาดแบบ Inbound และ Outbound มีความแตกต่างกันอย่างไร?
แน่นอนว่าทั้ง 2 แนวทางการทำการตลาดนี้ต้องมีความแตกต่างกัน ผมได้แบ่งหัวข้อหลักๆ ที่จะแสดงถึงความแตกต่างของ 2 แนวทางนี้ไว้อย่างชัดเจน เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าใจได้โดยง่าย ดังนี้ครับ
ความหมาย
- Inbound - “ดึงดูด” ให้คนสนใจแบรนด์ จนกลายเป็นลูกค้า
- Outbound - “เข้าหา” ลูกค้าโดยตรง เพื่อเสนอขายสินค้า
รูปแบบการสื่อสาร
- Inbound - สื่อสารแบบ “Two-Way” เน้นพูดสิ่งที่ลูกค้าสนใจ
- Outbound - สื่อสารแบบ “One-Way” เน้นพูดเรื่องสินค้าหรือบริการ
กลุ่มเป้าหมาย
- Inbound - กลุ่มเป้าหมายแบบ “Niche” มุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจง
- Outbound - กลุ่มเป้าหมายแบบ “Mass” มุ่งเน้นคนหมู่มาก
ช่องทาง/เครื่องมือ
- Inbound - Social Media, เว็บไซต์, SEO, Webinar, ฯลฯ
- Outbound - โฆษณาออนไลน์/ออฟไลน์, Email, โทรเสนอขาย, ฯลฯ
ข้อดี
- Inbound - ใช้ต้นทุนต่ำ, ทำให้แบรนด์ดูน่าเชื่อถือ
- Outbound - วัดผลได้ง่ายและใช้เวลาไม่นาน, เข้าถึงผู้คนได้จำนวนมาก
ข้อเสีย
- Inbound - วัดผลได้ยากและใช้เวลานาน, เข้าถึงผู้คนได้น้อย
- Outbound - ใช้ต้นทุนสูง, ผู้คนมีส่วนร่วมกับแบรนด์น้อย

การตลาดแบบไหนดีกว่ากัน?
มาถึงตรงนี้ หลายคนคงสงสัยว่า “แล้วการทำการตลาดแบบไหนล่ะที่ดีกว่ากัน?” หรือ “ควรใช้แนวทางไหนในการทำการตลาดดี?” ผมขอตอบตามตรงเลยว่า “การตลาดทั้ง 2 แนวทางมีข้อดีและจุดเด่นในตัวของมันเอง” ไม่สามารถบอกได้ว่าอะไรดีกว่ากัน ธุรกิจควรที่จะเลือกใช้ให้เหมาะสมกับทรัพยากรที่ธุรกิจมี กล่าวคือ หากธุรกิจมีทรัพยากรที่เพียงพอ อาจจะเลือกใช้ทั้ง 2 แนวทางผสมผสานในการทำการตลาดเลยก็ได้ ซึ่งแน่นอนว่าจะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการเลือกทำอย่างใดอย่างหนึ่ง นอกจากนี้ธุรกิจยังต้องเลือกใช้ให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ทางการตลาดที่ได้ตั้งเอาไว้ด้วย เช่น หากต้องการสร้างรากฐานของแบรนด์ให้แข็งแกร่งในระยะยาว ธุรกิจควรเลือกใช้ Inbound Marketing แต่หากต้องการให้แบรนด์เป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็วในระยะเวลาอันสั้น ก็ควรที่จะเลือกใช้ Outbound Marketing ทั้งนี้ทั้งนั้น หากจะให้เกิดผลลัพธ์ทางการตลาดที่ดีที่สุด ผมขอแนะนำว่าธุรกิจควรที่จะทำการตลาดทั้ง 2 แนวทางไปพร้อมๆ กัน โดยที่ต้องมีวิธีการดำเนินการที่ถูกต้องและเหมาะสมด้วย
สรุป
Inbound Marketing คือ การทำการตลาดแบบแรงดึงดูด ที่จะเน้นทำให้คนสนใจอยากเข้าหาแบรนด์ จนกลายเป็นลูกค้าของแบรนด์ในที่สุด
Outbound Marketing คือ การทำการตลาดแบบผลักการสื่อสาร ที่จะเน้นเข้าหาหรือสื่อสารข้อมูลที่เกี่ยวกับสินค้าหรือบริการของแบรนด์ออกไปหากลุ่มเป้าหมายโดยตรง
แนวทางการทำการตลาดทั้ง 2 รูปแบบนี้ต่างมีข้อดี-ข้อเสียแตกต่างกันไป เจ้าของธุรกิจหรือนักการตลาดควรที่จะเลือกใช้ให้เหมาะสมกับทรัพยากรที่ธุรกิจมีและวัตถุประสงค์ทางการตลาดที่ได้ตั้งไว้
เป็นยังไงกันบ้างครับ ทุกคนคงจะเข้าใจถึงความหมายและความแตกต่างของ Inbound และ Outbound Marketing กันแล้วใช่ไหมครับ หากอยากศึกษาแบบละเอียดว่าช่องทาง/เครื่องมือในการทำการตลาดของทั้ง 2 แนวทางนี้เป็นยังไงบ้าง ผมอยากให้รอติดตามบทความถัดๆ ไปของ Friday Digital นะครับ รับรองว่าทุกคนจะได้รับความรู้ด้านการตลาดไปอย่างแน่นๆ อย่างแน่นอน
หวังว่าผู้อ่านทุกคนจะได้รับประโยชน์จากบทความนี้ไปไม่มากก็น้อยนะครับ :) 💙
ปรึกษาการทำการตลาดออนไลน์กับผู้เชี่ยวชาญจาก Friday Digital เลย!
Email: hello@fridaydigital.co
Phone: 065-962-2064
Location: อาคารอัมรินทร์ทาวเวอร์ เลขที่ S5056-5057 ชั้น 5 เลขที่ 496-502 ถนนเพลินจิต แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330 ประเทศไทย