“เว็บไซต์” ถือเป็นสิ่งที่เปรียบเสมือนหน้าร้านค้าของธุรกิจบนโลกออนไลน์ จะเห็นได้ว่าหลายๆ ธุรกิจในปัจจุบันต่างมีเว็บไซต์เป็นของตัวเองกันอยู่แล้ว แต่การที่จะทำให้เว็บไซต์เป็นที่รู้จักและมีผู้เข้าชมได้อย่างสม่ำเสมอนั้น ต้องอาศัยวิธีการทางการตลาดออนไลน์ที่สำคัญอย่าง SEO และ SEM ซึ่งเป็นวิธีการที่จะช่วยให้เว็บไซต์ของธุรกิจเป็นที่รู้จักมากขึ้น มีจำนวนผู้เข้าชมเพิ่มมากขึ้น และอาจนำไปสู่โอกาสในการปิดการขายในอนาคตได้
ในบทความนี้ Friday Digital จะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับวิธีการทั้ง 2 แบบนี้ ว่าจริงๆ แล้วคืออะไร มีความแตกต่างกันอย่างไร และธุรกิจควรให้ความสำคัญกับอะไรมากกว่ากัน ถ้าทุกคนพร้อมแล้ว ไปเรียนรู้กันเลยครับ!
ทำความรู้จักกับ SEO
SEO หรือที่ย่อมาจากคำว่า “Search Engine Optimization” คือ การปรับแต่งและเพิ่มประสิทธิภาพของเว็บไซต์ เพื่อให้เว็บไซต์ปรากฏเป็นอันดับแรกๆ ในหน้าผลการค้นหา (Search Result Page) บน Search Engine อย่าง Google โดยที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ให้กับทาง Search Engine ซึ่งเป้าหมายหลักของ SEO คือการเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ เพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ และเพิ่มโอกาสในการขายสินค้าหรือบริการให้กับธุรกิจ โดยอาศัยวิธีการต่างๆ เช่น การสร้างคอนเทนต์บนเว็บไซต์ที่ตอบโจทย์กับผู้ค้นหา การใช้คำสำคัญ (Keyword) ที่เหมาะสมสำหรับการสร้างคอนเทนต์ และการปรับแต่งโครงสร้างเว็บไซต์ให้ใช้งานง่าย เป็นต้น
ทำความรู้จักกับ SEM
SEM หรือที่ย่อมาจากคำว่า “Search Engine Marketing” คือ การจ่ายเงินให้กับทาง Search Engine อย่าง Google เพื่อให้เว็บไซต์ปรากฏเป็นอันดับแรกๆ ในหน้าผลการค้นหา (Search Result Page) บน Search Engine ซึ่งจะมีคำว่า “Ad” แสดงอยู่ตรงหน้าลิงก์ของเว็บไซต์ หรือให้อธิบายง่ายๆ SEM ก็คือการซื้อพื้นที่โฆษณาสำหรับโปรโมทเว็บไซต์นั่นเอง ซึ่งเป้าหมายหลักของ SEM คือการเพิ่มการรับรู้ให้ผู้คนรู้จักแบรนด์มากขึ้น เพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ และเพิ่มโอกาสในการขายสินค้าหรือบริการให้กับธุรกิจ โดยอาศัยวิธีการต่างๆ เช่น การเลือกคำสำคัญ (Keyword) ที่เหมาะสมสำหรับการทำโฆษณา การประมูล (Bidding) ค่าคลิกของโฆษณา และการปรับแต่งโครงสร้างเว็บไซต์ใช้งานง่าย เป็นต้น

ที่มา: ahrefs.com
ความแตกต่างระหว่าง SEO และ SEM
จากความหมายของ SEO และ SEM ข้างต้น ทุกคนพอจะเห็นถึงความแตกต่างคร่าวๆ ของทั้ง 2 วิธีการนี้กันแล้วใช่ไหมครับ ดังนั้นในหัวข้อนี้ผมขออธิบายถึงหลักการทำงานและจุดเด่น-ข้อจำกัดของทั้ง SEO และ SEM เพื่อให้ทุกคนเห็นถึงความแตกต่างได้อย่างเจาะลึกมากยิ่งขึ้นครับ
หลักการทำงานของ SEO และ SEM
หลักการทำงานของ SEO
การทำ SEO จะเน้นไปที่การปรับแต่งปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลต่อการจัดอันดับในหน้าผลการค้นหาบน Search Engine ไม่ว่าจะเป็นการปรับแต่งบนโครงสร้างเว็บไซต์ (On-Page Optimization) และการปรับแต่งในส่วนอื่นๆ นอกเหนือจากเว็บไซต์ (Off-Page Optimization) ซึ่งหากเว็บไซต์ติดอันดับในหน้าผลการค้นหาบน Search Engine จากการทำ SEO ธุรกิจจะไม่ต้องเสียค่าโฆษณาให้ทาง Search Engine เลยเมื่อมีผู้ค้นหาคลิกเพื่อเข้าชมหน้าเว็บไซต์ โดยผู้เข้าชมประเภทนี้จะมีชื่อเรียกว่า “Organic Traffic”
ตัวอย่างเช่น เว็บไซต์ 123.com เป็นธุรกิจขายสินค้าประเภทรองเท้ากีฬา ได้มีการใช้ Keyword คำว่า “รองเท้ากีฬา” ในการทำ SEO ดังนั้นเมื่อมีผู้ค้นหาคำว่า “รองเท้ากีฬา” และคลิกเข้ามายังเว็บไซต์ ทางเว็บไซต์ 123.com จะไม่ต้องจ่ายเงินค่าโฆษณาใดๆ ให้กับทาง Search Engine เลย
หลักการทำงานของ SEM
การทำ SEM จะเน้นไปที่การทำโฆษณาบน Search Engine เพื่อให้เว็บไซต์ติดอันดับในหน้าผลการค้นหา การโฆษณาจะเป็นแบบ PPC (Pay Per Click) หรือก็คือ “การจ่ายค่าโฆษณาเมื่อมีผู้ค้นหาคลิกเพื่อเข้าชมเว็บไซต์” ผู้เข้าชมประเภทนี้จะมีชื่อเรียกว่า “Paid Traffic” โดยระบบการโฆษณาของ Search Engine อย่าง Google จะคิดค่าคลิกจากการให้เว็บไซต์ต่างๆ มาทำการประมูลหรือ Bidding ค่า CPC (Cost Per Click) แข่งกันว่าใครจะเสนอจ่ายค่าโฆษณาให้คลิกละเท่าไหร่ ซึ่งหมายความว่าถ้าหาก Keyword ที่เลือกใช้มีคู่แข่งเลือกใช้เยอะ อาจต้องเพิ่มจำนวนเงินการประมูลให้สูงขึ้น เพื่อที่เว็บไซต์จะได้ปรากฏในอันดับที่สูงกว่าคู่แข่งรายอื่นๆ
ตัวอย่างเช่น เว็บไซต์ 123.com เป็นธุรกิจขายสินค้าประเภทรองเท้ากีฬา ได้มีการใช้ Keyword คำว่า “รองเท้ากีฬา” ในการทำโฆษณาหรือ SEM โดยใน Keyword นี้มีการประมูลค่า CPC กันอยู่ที่คลิกละ 10 บาท หากเว็บไซต์ 123.com ลงโฆษณาและมีผู้ค้นหาคลิกเข้ามา จะต้องจ่ายเงินค่าโฆษณาคลิกละ 10 บาท แต่หากโฆษณาแสดงและไม่มีผู้คลิก ทางเว็บไซต์ 123.com ก็ไม่ต้องเสียค่าโฆษณาให้กับทาง Search Engine
จุดเด่น - ข้อจำกัดของ SEO และ SEM
จุดเด่นของ SEO
- ช่วยสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น
- สร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์
- ประหยัดต้นทุน โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในการโฆษณา
- คุ้มค่าต่อการลงทุน ช่วยสร้างยอดขายในระยะยาวให้กับธุรกิจ
- มีโอกาสที่จะติดอันดับการค้นหาได้นาน หากมีคอนเทนต์ที่ดี
ข้อจำกัดของ SEO
- ต้องมีความรู้และเทคนิคในการทำ
- ใช้ระยะเวลานานในการทำให้เว็บไซต์ขึ้นมาติดอันดับแรกๆ
- วัดผลได้ไม่ละเอียดเท่า SEM
- ต้องทำอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ เพื่อให้ติดอันดับได้นาน
- ไม่สามารถเปลี่ยนหน้า Landing Page ได้บ่อย
จุดเด่นของ SEM
- ใช้เวลาไม่นาน เห็นผลได้อย่างรวดเร็ว
- สามารถปรับเปลี่ยน Keyword ได้ตลอดเวลา
- กำหนดวันและเวลาในการแสดงโฆษณาได้
- สามารถเลือกเปิด-ปิดโฆษณาได้ตลอดเวลา
- วัดผลได้อย่างละเอียด เพื่อนำไปปรับปรุงการโฆษณาให้มีประสิทธิภาพขึ้น
ข้อจำกัดของ SEM
- ได้รับความน่าเชื่อถือน้อยกว่า SEO
- ต้องใช้งบประมาณในการโฆษณา
- หากต้องการเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ จะต้องเพิ่มงบการโฆษณา
- ต้องมีความรู้ในการใช้เครื่องมือการโฆษณา
- มีโอกาสที่โฆษณาจะไม่ปรากฏในบางครั้ง หากงบการโฆษณาและ Bidding ต่ำเกินไป

ที่มา: aspire.marketron.com
ธุรกิจควรให้ความสำคัญกับอะไรมากกว่ากันระหว่าง SEO และ SEM
มาถึงตรงนี้ ทุกคนคงได้เห็นถึงความแตกต่างของ SEO และ SEM อย่างชัดเจนกันแล้วใช่ไหมครับ ถึงแม้ว่าทั้ง 2 วิธีการต่างมีจุดเด่นและข้อจำกัดต่างกันไป แต่ก็มีความสำคัญในการทำให้เว็บไซต์ของธุรกิจเติบโตขึ้นเหมือนกัน เพราะฉะนั้นการที่จะตอบคำถามที่ว่า “ธุรกิจควรให้ความสำคัญกับอะไรมากกว่ากัน?” ผมขอตอบเลยว่า “ขึ้นอยู่กับข้อควรพิจารณาต่างๆ” ดังนั้นผมขอเสนอข้อควรพิจารณาในการเลือกทำ SEO และ SEM ทั้งหมด 4 ข้อ เพื่อให้ทุกคนสามารถใช้ตัดสินใจได้ว่าควรเลือกให้ความสำคัญอะไรมากกว่ากัน ดังนี้ครับ
- เป้าหมายทางการตลาด
ธุรกิจควรกำหนดว่าเป้าหมายของการตลาดเป็นอย่างไร หากเป้าหมายเป็นการเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์ และมีเวลาเพียงพอในการดำเนินการ ควรทำ SEO เพื่อเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์ได้ในระยะยาว ในทางกลับกัน หากต้องการเห็นผลลัพธ์ได้โดยทันทีและมีงบประมาณเพียงพอ การทำ SEM เป็นวิธีที่ดีเพื่อเพิ่มปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์ในขณะที่กำลังดำเนินการ SEO อยู่
- ระยะเวลา
การทำ SEO เป็นการลงทุนที่ใช้เวลานานเพื่อเพิ่มปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์ โดยอาจใช้เวลานานกว่า 6 เดือน เพื่อให้ผลการค้นหาของเว็บไซต์ปรากฏในหน้าแรกของผลการค้นหา ในขณะเดียวกันการทำ SEM จะให้ผลทันที และสามารถปรับเปลี่ยนโฆษณาหรือกลยุทธ์ได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นหากธุรกิจต้องการเพิ่มปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์ในระยะเวลาสั้น หรือต้องการทดสอบกลยุทธ์ใหม่ๆ อยู่เสมอ การเลือกทำ SEM จึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
- งบประมาณ
งบประมาณเป็นปัจจัยสำคัญที่ธุรกิจควรพิจารณา หากไม่มีงบประมาณในการลงทุนทำ SEM สามารถเริ่มต้นด้วยการดำเนินการ SEO ก่อน ซึ่งไม่ต้องใช้เงินจ่ายตลอดการดำเนินการ แต่หากมีงบประมาณสูง สามารถเลือกทำ SEM เพื่อเพิ่มปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์และยอดขายได้อย่างรวดเร็ว ในทางกลับกัน หากมีงบประมาณจำกัดและเป้าหมายเป็นการเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์ การเลือกทำ SEO จึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
- ความสามารถในการดำเนินการ
การทำ SEO และ SEM ต่างต้องอาศัยความรู้และทักษะในการดำเนินการ หากธุรกิจมีความสามารถและทรัพยากรในการดำเนินการที่เพียงพอ เช่น มีทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดออนไลน์ที่สามารถทำได้ทั้ง SEO และ SEM ธุรกิจควรดำเนินการทำทั้ง 2 อย่างไปควบคู่กันไป แต่หากมีผู้เชี่ยวชาญเพียงด้านใดด้านหนึ่ง ก็สามารถเริ่มดำเนินการทำสิ่งนั้นก่อนโดยที่ไม่จำเป็นต้องรอที่จะดำเนินการพร้อมกัน
โดยสรุปแล้ว การจะเลือกพิจารณาทำ SEO หรือ SEM ขึ้นอยู่กับเป้าหมาย ระยะเวลา งบประมาณ และความสามารถในการดำเนินการ ดังนั้นธุรกิจควรพิจารณาให้ละเอียดถี่ถ้วนถึงความเหมาะสมในการเลือกใช้เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ แต่ถ้าให้ผมแนะนำ จริงๆ แล้วธุรกิจควรที่จะทำทั้ง SEO และ SEM “ควบคู่กันไป” เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงที่สุดครับ (ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับความสามารถและทรัพยากรของธุรกิจด้วยครับว่ามีเพียงพอไหม)

ที่มา: firstpagesage.com
เทคนิคการทำ SEO คู่กับ SEM ให้เกิดประสิทธิภาพสูงที่สุด
- การปรับแต่งเว็บไซต์ให้ตอบโจทย์กับผู้ใช้งาน
โครงสร้างของเว็บไซต์ควรที่จะเข้าใจง่ายและใช้งานได้สะดวกสำหรับผู้ใช้งาน (User-Friendly) นอกจากนี้ควรจัดแบ่งหน้าเว็บไซต์ให้มีโครงสร้างที่เป็นระเบียบ เพื่อช่วยให้ Search Engine เข้าใจและดักจับเนื้อหาได้ง่าย
- การเลือกใช้ Keyword ที่เหมาะสม
ควรเลือก Keyword ที่เป็นที่ค้นหามากในกลุ่มเป้าหมาย เพื่อเพิ่มโอกาสในการปรากฏในหน้าผลการค้นหาบน Search Engine นอกจากนี้ควรทำการวิเคราะห์และเลือก Keyword ที่เหมาะสมสำหรับการใช้ทำ SEO และ SEM โดยการใช้เครื่องมือต่างๆ เป็นตัวช่วย เช่น Google Ads Keyword Planner เป็นต้น
- การสร้างคอนเทนต์ที่มีประโยชน์ต่อผู้ค้นหา
เนื้อหาหรือคอนเทนต์บนเว็บไซต์ควรเขียนให้เป็นประโยชน์แก่ผู้ค้นหา โดยให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์และสอดคล้องกับ Keyword ที่เลือกไว้ นอกจากนี้ควรใช้ Keyword ในการเขียนหัวเรื่อง (Title) และเนื้อหาในเว็บไซต์ (Content) เพื่อช่วยเพิ่มโอกาสในการปรากฏในหน้าผลการค้นหา
- การวัดผลและปรับปรุงอย่างสม่ำเสมอ
หลังจากดำเนินการทำ SEO และ SEM แล้ว ควรมีการวัดผลอย่างสม่ำเสมอว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร มีจุดไหนที่ควรปรับแก้ เพื่อนำไปปรับปรุงและพัฒนาให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ซึ่งหากไม่ได้ให้ความสำคัญในจุดนี้ การทำ SEO และ SEM ก็แทบจะไม่มีความหมายอะไรเลย
ตัวอย่าง 5 ธุรกิจชื่อดังที่มีการทำ SEO และ SEM
- Airbnb - เว็บไซต์สำหรับการจองที่พัก การทำ SEO และ SEM เป็นส่วนสำคัญในการเพิ่มยอดการเข้าชมเว็บไซต์และยอดการจองโดยตรงผ่านแพลตฟอร์มของ Airbnb
- Amazon - เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซที่ใหญ่ที่สุดในโลก การทำ SEO และ SEM เพื่อเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์และยอดขายเช่นเดียวกันกับ Airbnb โดย Amazon เน้นเพิ่มความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์โดยการพัฒนาเนื้อหาที่มีคุณค่าสำหรับผู้ใช้ เช่น บทความ รีวิวสินค้า และโปรโมชัน ซึ่งมุ่งเน้นการโฆษณาผ่านการค้นหาและการแสดงโฆษณาผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น Google Ads และ Facebook Ads
- Dropbox - ผู้ให้บริการเก็บไฟล์ออนไลน์ การทำ SEO และ SEM เป็นส่วนสำคัญของการเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์และการสร้างแบรนด์ผ่านการโฆษณาและการเชื่อมโยงกับเว็บไซต์อื่นๆ เช่น Google Drive และ Microsoft OneDrive
- HubSpot - ซอฟต์แวร์สำหรับจัดการการตลาดออนไลน์ การทำ SEO และ SEM เป็นส่วนสำคัญของการสร้างโฆษณาและการติดอันดับในการค้นหา เพื่อเพิ่มยอดการเข้าชมเว็บไซต์และการเปลี่ยนผู้เข้าชมให้เป็นลูกค้า
- Zappos - เว็บไซต์ขายรองเท้าออนไลน์ชื่อดัง การทำ SEO และ SEM เป็นส่วนสำคัญของการเพิ่มยอดการเข้าชมเว็บไซต์และการสร้างความไว้วางใจต่อแบรนด์ โดยเน้นเนื้อหาคุณภาพสูงและการโฆษณาผ่านช่องทางต่างๆ เช่น Google Shopping และ Facebook Ads
จะเห็นได้ว่าทั้ง 5 ตัวอย่างธุรกิจที่ผมได้ยกตัวอย่างมานี้ ได้มีการทำ SEO และ SEM เพื่อเพิ่มการรับรู้ต่อแบรนด์และสร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจบนช่องทางออนไลน์ อีกทั้งยังสามารถเพิ่มยอดการเข้าชมเว็บไซต์และยอดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย
จ้างทำ SEO และ SEM vs ลงมือทำเอง แบบไหนเวิร์คกว่ากัน?
การตัดสินใจว่าจะจ้างทำ SEO และ SEM หรือลงมือทำเองนั้น ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และทรัพยากรของธุรกิจ หากมีทรัพยากรในการจัดสรรเงินทุนและบุคคลที่มีความเชี่ยวชาญในการทำ SEO และ SEM และมีเวลาเพียงพอสำหรับศึกษาและพัฒนาความรู้ ธุรกิจสามารถลงมือทำเองได้ แต่หากธุรกิจไม่มีทรัพยากรที่เพียงพอ หรือไม่มีบุคคลที่มีความเชี่ยวชาญในการทำ SEO และ SEM ธุรกิจควรพิจารณาที่จะจ้างผู้ให้บริการอย่างเอเจนซีการตลาดออนไลน์หรือฟรีแลนซ์ เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของเว็บไซต์ ดังนั้นผมขอเสนอข้อควรพิจารณา 4 ข้อในการใช้ตัดสินใจว่าควรเลือกที่จะจ้างหรือทำเองดี ดังนี้ครับ
- งบประมาณ - การจ้างผู้ให้บริการมักมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าการลงมือทำเอง ดังนั้นควรพิจารณาถึงงบประมาณที่มีอยู่ว่าสามารถที่จะจ้างได้หรือไม่
- ความรู้และความเชี่ยวชาญ - การทำ SEO และ SEM ต้องอาศัยความรู้และความเชี่ยวชาญที่สูง เพื่อให้สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นหากไม่มีความรู้และความเชี่ยวชาญเหล่านี้ การจ้างผู้ให้บริการอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
- การบริหารเวลา - การทำ SEO และ SEM ต้องใช้เวลาและความพยายามเป็นอย่างมาก หากไม่มีเวลาเพียงพอที่จะทำเองได้ การจ้างผู้ให้บริการอาจจะช่วยประหยัดเวลาในส่วนนี้ได้
- ประสิทธิภาพ - ผลลัพธ์จากการทำ SEO และ SEM ขึ้นอยู่กับความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ของผู้ดำเนินการ และอาจจะใช้เวลาสั้นหรือนานขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ดังนั้นการจ้างผู้ให้บริการที่มีความเชี่ยวชาญอาจจะช่วยให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีกว่า

สรุป
“SEO และ SEM” คือ วิธีการทางการตลาดออนไลน์ที่จะช่วยให้เว็บไซต์ของธุรกิจเป็นที่รู้จักมากขึ้น มีจำนวนผู้เข้าชมเพิ่มมากขึ้น และอาจนำไปสู่โอกาสในการปิดการขายในอนาคตได้ โดย 2 วิธีการนี้แตกต่างกันที่ SEO จะเป็นการปรับแต่งและเพิ่มประสิทธิภาพของเว็บไซต์ เพื่อให้เว็บไซต์ปรากฏเป็นอันดับแรกๆ ในหน้าผลการค้นหา (Search Result Page) บน Search Engine ส่วน SEM จะเป็นการจ่ายเงินให้กับทาง Search Engine เพื่อให้เว็บไซต์ปรากฏเป็นอันดับแรกๆ ในหน้าผลการค้นหา (Search Result Page) บน Search Engine โดยทั้ง 2 วิธีการนี้ต่างมีจุดเด่นและข้อจำกัดที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งการที่จะตอบคำถามที่ว่า “ธุรกิจควรให้ความสำคัญกับอะไรมากกว่ากัน?” จริงๆ แล้วก็ขึ้นอยู่กับข้อควรพิจารณาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เป้าหมายทางการตลาด ระยะเวลา งบประมาณ และความสามารถในการดำเนินการ ดังนั้นธุรกิจควรพิจารณาให้ละเอียดถี่ถ้วนถึงความเหมาะสมในการเลือกใช้เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ แต่ถ้าให้แนะนำ จริงๆ แล้วธุรกิจควรที่จะทำทั้ง SEO และ SEM “ควบคู่กันไป” เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงที่สุด
เป็นอย่างไรกันบ้างครับ มาถึงตรงนี้ทุกคนคงจะเข้าใจกันถึงความแตกต่างระหว่าง SEO และ SEM กันใช่ไหมครับ ซึ่งจะเห็นได้ว่าทั้ง 2 วิธีการนี้มีความสำคัญต่อการทำการตลาดออนไลน์ในโลกยุคนี้เป็นอย่างมาก ดังนั้นหากอยากศึกษาแบบเจาะลึกถึงขั้นตอนและเทคนิคในการทำ SEO และ SEM ให้มากกว่านี้ ผมอยากให้ทุกคนรอติดตามบทความถัดๆ ไปของ Friday Digital นะครับ รับรองว่าจะได้รับความรู้ไปอย่างแน่นๆ เพื่อนำไปต่อยอดในการทำการตลาดได้อย่างแน่นอน
หวังว่าผู้อ่านทุกคนจะได้รับประโยชน์จากบทความนี้ไปไม่มากก็น้อยนะครับ :) 💙
ปรึกษาการทำการตลาดออนไลน์กับผู้เชี่ยวชาญจาก Friday Digital เลย!
Email: hello@fridaydigital.co
Phone: 065-962-2064Location: อาคารอัมรินทร์ทาวเวอร์ เลขที่ S5056-5057 ชั้น 5 เลขที่ 496-502 ถนนเพลินจิต แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330 ประเทศไทย